วิตามิน สำหรับบำรุงผิว เป็นตัวช่วยอีกทางหนึ่ง ในการดูแลผิวของเรา ที่ต้องเผชิญกับมลภาวะต่างๆ รวมทั้งสภาพอากาศ ที่คอยทำร้ายผิว จนเกิดปัญหาสิว ผิวหมองคล้ำ มีริ้วรอย และมีจุดด่างดำ ซึ่งการกิน หรือการทา วิตามินบำรุงผิว ก็จะช่วยเสริมให้ผิวของเรา สวยออร่า ดูเปล่งปลั่ง ขาวกระจ่างใส และเรียบเนียนขึ้นได้ ภายในระยะเวลารวดเร็ว ที่สำคัญคือ ช่วยบำรุงผิว ให้มีสุขภาพที่ดี จากภายใน สู่ภายนอกอีกด้วย
วิตามิน สำหรับบำรุงผิว อันดับ 1-3 ที่กินแล้วช่วยให้ผิวสวยมีออร่า
1. วิตามิน B 3
แหล่งรวมของวิตามิน B 3 มีทั้งในรูปแบบ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ครีมบำรุง และอาหารประเภท โฮลวีท จมูกข้าวสาลี ไข่ ลูกพรุน เป็นต้น ซึ่งวิตามิน B 3 จะช่วยในเรื่อง ป้องกันการสูญเสียน้ำ จึงทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น รวมทั้งช่วยลดการสร้างเมลานิน ช่วยกระจายเม็ดสีผิว ช่วยเร่งผลัดเซลส์ผิว และช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน ดังนั้น การกินและการทาวิตามิน B 3 จึงทำให้ผิวขาวกระจ่างใส กระและฝ้าจางลง รอยแดงต่างๆ จางลง และลดการระคายเคืองด้วย
2. วิตามิน B 5 หรือ กรดแพนโทธีนิก
วิตามิน B 5 สามารถพบได้ ในอาหารชนิดต่างๆ ในปริมาณน้อย แต่ก็พบได้บ้าง ในเนื้อไก่ หัวใจสัตว์ ไตสัตว์ และธัญพืช ที่ไม่ได้ผ่านการขัดสี เช่น รำข้าว จมูกข้าวสาลี ซึ่งจะต้องกินอาหาร ที่มีวิตามิน B 5 ในปริมาณมากๆ กว่าจะเห็นผลได้ จึงควรทาครีม ที่มีส่วนผสมของวิตามิน B 5 หรือกินอาหารเสริม ที่มีวิตามิน B 5 จะได้ผลดีกว่า โดยวิตามิน B 5 จะช่วยดูดซับความชุ่มชื้น ให้กับผิวได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งช่วยเพิ่มความเนียนนุ่ม ทำให้ผิวน่าสัมผัส และช่วยกระตุ้นกระบวนการ ในการรักษาสิวด้วย
3. วิตามิน C
การกินวิตามิน C จะช่วยให้ผิวดูใสขึ้น และยังช่วยชะลอความแก่ เพราะมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ รวมทั้งช่วยสร้าง และช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวเต่งตึง ดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ วิตามิน C ยังช่วยให้ผิวขาว กระจ่างใส ช่วยเรื่องปัญหาจุดด่างดำ ช่วยเรื่องสีผิวไม่เท่ากัน ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และช่วยเป็นเกราะป้องกัน ผิวคล้ำเสียจากแสงแดด อีกด้วย วิตามิน C มีทั้งในรูปแบบอาหารเสริม อีกทั้งยังอยู่ในผัก และผลไม้ เช่น บร็อคโคลี่ ส้ม สตรอเบอรี่ มะเขือเทศ เป็นต้น
ทั้งนี้ หากจะกินวิตามิน C ในรูปแบบอาหารเสริม ไม่ควรกินเกินวันละ 1,000 มิลลิกรัม ไม่ควรกินตอนท้องว่าง และควรกินวิตามิน C แบบต่อเนื่อง ไม่เกิน 6 เดือน แล้วหยุดพัก 1 เดือน ก่อนจะกินวิตามิน C ต่อ แต่วิตามิน C เป็นวิตามินที่ ละลายในน้ำได้ หากกินเข้าไป มากเกินความต้องการของร่างกาย ก็จะถูกขับออกทางปัสสาวะได้ด้วย หากอยากเพิ่มประสิทธิภาพ การบำรุงผิวพรรณให้ล้ำลึกมากขึ้น ก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่มีส่วนผสมของวิตามิน C ควบคู่กันกับ การกินอาหาร และการกินอาหารเสริม ที่มีวิตามิน C ไปด้วย
วิตามิน อันดับ 4-6 ที่ช่วยบำรุงผิวให้ขาวกระจ่างใส
4. วิตามิน D
วิตามิน D เป็นวิตามินที่หลายคน มักลืมนึกถึง และมองข้ามความสำคัญไป เพราะไม่รู้ว่าวิตามิน วิตามิน D มีประโยชน์ ทั้งมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดสิว ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี และช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ โดยหลายๆ คนอาจมีภาวะ ขาดวิตามินดี โดยไม่รู้ตัวได้ด้วย เพราะการใช้ชีวิตแบบ ไม่ได้บริโภคอาหารที่มีวิตามิน D ไม่ได้รับแสงแดดในยามเช้า ใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกาย และทาครีมกันแดดอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ แหล่งที่สามารถหาวิตามิน D ได้ง่ายที่สุด ก็คือแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้า ให้ผิวของเรา ได้สังเคราะห์บ้าง และยังพบวิตามิน D ได้ใน น้ำมันตับปลา ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน และนม
5. วิตามิน E
วิตามิน E มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยปกป้องริ้วรอยก่อนวัย ช่วยชะลอความแก่ ช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV และช่วยลดความเสี่ยง ในการเกิดมะเร็งผิวหนัง นอกจากนี้ วิตามิน E ยังช่วยลดริ้วรอย ช่วยรักษาแผลเป็น ช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น และยังช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน ควรกินวิตามิน E เป็นอาหารเสริม และควรทาบำรุงผิว ด้วยครีมที่มีส่วนผสมของวิตามิน E โดยควรกินวิตามิน E วันละ 2 เม็ด ตอนเช้าและตอนเย็น จำนวน 2 ครั้ง แต่ใน 1 วัน ไม่ควรกินวิตามิน E เกิน 135 – 800 มิลลิกรัม และกินวิตามิน E ควบคู่กับวิตามิน C ก็จะยิ่งช่วยให้ผิวดูดียิ่งขึ้นด้วย
แต่ไม่ควรกินวิตามิน E พร้อมกับ การกินธาตุเหล็ก เพราะจะทำให้ร่างกาย ไม่สามารถดูดซึมวิตามิน E ได้ แนะนำว่า ควรแยกกันกิน โดยควรกินวิตามิน E ก่อนกินธาตุเหล็ก 8-12 ชั่วโมง ทั้งนี้ วิตามิน E เป็นวิตามินประเภท ละลายในไขมัน จึงไม่ควรกินวิตามิน E ต่อเนื่องเกิน 3 เดือน และควรหยุดพักการกินวิตามิน E นาน 1 เดือน ที่สำคัญคือ ไม่ควรกินวิตามิน E ติดต่อกันเป็นเวลานาน แต่ควรกินวิตามิน E เฉพาะตอนที่มีปัญหาเรื่องผิว หรือมีปัญหาเรื่องร่างกายขาดวิตามิน E เท่านั้น
6. วิตามิน K
วิตามิน K เป็นวิตามินที่ช่วยเรื่อง ปัญหาใต้ตาคล้ำ ปัญหาผิวคล้ำ แบบกระดำกระด่าง และปัญหาผิวฟกช้ำ และวิตามิน K ยังมีส่วนช่วย เรื่องการแข็งตัวของเลือด และการฟื้นฟูบาดแผล หลังศัลยกรรม เช่น การผ่าตัด การทำเลเซอร์ โดยแหล่งรวมของวิตามิน K ที่สามารถพบได้ คือ กะหล่ำปลี ผักใบเขียว น้ำมันมะกอก ตับ และนม